วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สีฝุ่นเทมเพอรา


พระแม่มารีและพระบุตรโดยดุชโช, เทมเพอราและทองบนไม้, ค.ศ. 1284, เซียนา

ภาพเขียนสีฝุ่นเทมเพอราบนไม้โดยนิคโคโล เซมิเทโคโล ค.ศ. 1367
สีฝุ่นเทมเพอรา (อังกฤษ: tempera, egg tempera) เป็นสิ่งที่ใช้ในการเขียนภาพที่แห้งง่ายและถาวรที่ประกอบด้วยรงควัตถุผสมกับของเหลวที่เป็นตัวเชื่อม (มักจะใช้สารกลูเตน (Gluten)) เช่นไข่แดงหรือสารที่เป็นตัวเชื่อม (Sizing) อื่นๆ นอกจากนั้นเทมเพอราก็ยังหมายถึงจิตรกรรมที่เขียนด้วยสารผสมดังกล่าวด้วย การเขียนด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่ทำให้ภาพที่เขียนมีอายุยืนนานเช่นภาพที่เขียนในคริสต์ศตวรรษที่หนึ่งก็ยังมีอยู่ให้เห็น เทมเพอราที่ผสมด้วยไข่เป็นวิธีที่ใช้ในการเขียนภาพโดยทั่วไปมาจนหลังคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อมาแทนที่ด้วยการเขียนด้วยสีน้ำมัน เทมเพอราอีกประเภทหนึ่งที่ผสมระหว่างรงควัตถุกับสารที่เป็นกาวที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมักจะเรียกโดยผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาว่าสีโปสเตอร์

ประวัติ

การเขียนจิตรกรรมเทมเพอราพบมาตั้งแต่การเขียนตกแต่งโลงหินสมัยอียิปต์โบราณ ภาพเหมือนมัมมีเฟยุม (Fayum mummy portraits) หลายภาพก็เขียนด้วยเทมเพอราและบางครั้งก็ผสมกับจิตรกรรมขี้ผึ้งร้อน (Encaustic painting) การเขียนด้วยวิธีดังว่านี้เป็นวิธีที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยคลาสสิค และเป็นวิธีเขียนหลักในการเขียนจิตรกรรมแผง และ หนังสือวิจิตรของไบแซนไทน์และในยุคกลาง และ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนต้นในยุโรป จิตรกรรมเทมเพอราเป็นวิธีเขียนหลักของจิตรกรรมแผงที่ใช้โดยจิตรกรแทบทุกคนในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนต้นมาจนถึงปี ค.ศ. 1500 ตัวอย่างเช่นงานเขียนของงานเขียนจิตรกรรมแผงทุกชิ้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่โดยไมเคิล แอนเจโลเป็นงานเขียนเทมเพอราผสมไข่
สีน้ำมันที่อาจจะมาจากอัฟกานิสถานระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง คริสต์ศตวรรษที่ 9[1] และแพร่เข้ามาทางตะวันตกในยุคกลาง[2] ในที่สุดก็มาแทนที่เทมเพอราระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในจิตรกรรมยุคเนเธอร์แลนด์ตอนต้นทางตอนเหนือของยุโรป ราวปี ค.ศ. 1500 สีน้ำมันก็มาแทนที่เทมเพอราในอิตาลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง คริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็มีการฟื้นฟูการเขียนด้วยเทมเพอราขึ้นมาเป็นช่วงๆ ในการศิลปะตะวันตก เช่นในกลุ่มจิตรกรพรีราฟาเอลไลท์, จิตรกรสัจนิยมต่อสังคมและอื่นๆ จิตรกรรมเทมเพอรายังคงเป็นวิธีเขียนในกรีซและรัสเซียที่เป็นวิธีที่ระบุว่าต้องใช้ในการเขียนไอคอนของอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์

 วิธีเขียน

เทมเพอราเดิมทำโดยการบดรงควัตถุที่เป็นผงแห้งลงไปพร้อมกับสิ่งที่ผสานสีกับพื้นผิวที่ทาเช่นไข่, กาว, น้ำผึ้ง, น้ำ, นมในรูปของcasein หรือ ต้นยางต่างๆ
การเขียนก็เริ่มด้วยการนำรงควัตถุปริมาณเล็กน้อยบนจานสี จาน หรือ ชาม และเติมสารที่เป็นตัวเชื่อมราวเท่าตัว และทำการผสม ปริมาณของสารเชื่อมก็แล้วแต่สีที่ใช้ จากนั้นก็เติมน้ำกลั่น

เทมเพอราไข่


พระกระยาหารมื้อสุดท้ายโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี, เทมเพอราบนชอล์ค, ค.ศ. 1495–ค.ศ. 1498

บานพับภาพทาร์ลาที” โดยเปียโตร ลอเร็นเซ็ตติ, เทมเพอราและทองบนแผง, ค.ศ. 1320
วิธีการเขียนเทมเพอราที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือ “เทมเพอราไข่” วิธีการผสมแบบนี้จะใช้เฉพาะไข่แดง ส่วนผสมก็จะได้รับการปรับไปเรื่อยๆ เพื่อรักษาดุลย์ระหว่าง “ความมัน” และ “ความใส” ที่ต้องการ โดยการปรับปริมาณไข่และปริมาณน้ำ เมื่อเทมเพอราเริ่มแห้งจิตรกรก็จะเติมน้ำเพื่อรักษาระดับความข้นที่ต้องการเอาไว้ และป้องกันการแห้งตัวของไข่แดงเมื่อปะทะอากาศ
วิธีผสมแบบอื่นอาจจะใช้เฉพาะไข่ขาว หรือ ทั้งไข่ขาวและไข่แดงเพื่อให้ได้ผลที่ต้องการ บางครั้งก็อาจจะเพิ่มส่วนผสมอื่นๆ เช่นน้ำมัน หรือขี้ผึ้งเหลว ตัวอย่างการเติมน้ำมันก็จะไม่เกินอัตรา 1:1 ทำให้ได้ผลไปอีกแบบหนึ่งและทำให้สีไม่หนา

รงควัตถุ

รงควัตถุที่ใช้โดยจิตรกรในยุคกลางเช่นสีแดงชาดเป็นสีที่เป็นพิษ จิตรกรส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้สีสังเคราะห์ ที่มีความเป็นพิษน้อยกว่าแต่ให้สีที่คล้ายคลึงกับสีที่ทำจากรงควัตถุตามวิธีเดิม แต่กระนั้นรงควัตถุสมัยใหม่บางสีก็ยังเป็นสารอันตรายฉะนั้นการเก็บรักษาต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เช่นเก็บสีในสภาพที่เปียกเพื่อป้องกันการหายใจฝุ่นสีเข้าไป

 การใช้

สีเทมเพอราจะแห้งอย่างรวดเร็ว การใช้ก็มักจะทาบางๆ กึ่งใส หรือ ใส การเขียนเทมเพอราเป็นวิธีการเขียนที่เที่ยงเมื่อใช้วิธีการเขียนที่ทำกันมาที่ใช้การวาดด้วยฝีแปรงสั้นๆ ถื่ๆ ไขว้กัน เมื่อแห้งจะทำให้ดูเหมือนมีผิวเรียบ สีเทมเพอราใช้ได้แต่เพียงบางๆ เช่นสีน้ำมันที่ทาได้เป็นชั้นหนาๆ หลายชั้นจิตรกรรมสีเทมเพอราจึงแทบจะไม่มีภาพเขียนที่มีสีที่เรียกว่าลึกเหมือนกับสีน้ำมัน ซึ่งทำให้จิตรกรรมสีเทมเพอราที่ไม่ได้เคลือบเงาดูเหมือนสีพาสเทล แต่ถ้าเคลือบน้ำมันแล้วก็จะทำให้สีดูเข้มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันสีเทมเพอราจะไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา[3]เหมือนสีน้ำมันที่จะเข้มขึ้นและออกเหลือง และใสขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น[4]

พื้นผิว

สีเทมเพอราจะติดพื้นผิวที่ซับความชื้นที่มีระดับ “น้ำมัน” ต่ำได้ดีกว่าถ้าใช้สารที่เป็นตัวเชื่อม[5] (ตามสูตรที่ว่า “ไขมันมากกว่าเนื้อ”[6] พื้นที่เขียนเดิมส่วนใหญ่จะเป็นชอล์ค (gesso) ที่ไม่ยืดหยุ่น และซับสเตรตที่มักจะแข็งเช่นกัน[7] โดยทั่วไปแล้วก็จะใช้แผงไม้เป็นซับสเตรต หรือ กระดาษหนาก็ใช้ได้

จิตรกรเทมเพอรา

แม้ว่าเทมเพอราจะหมดความนิยมไปแล้วตั้งแต่ปลายยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและสมัยบาโรก แต่กระนั้นก็ยังมีจิตรกรรุ่นต่อมาที่พยายามฟื้นฟูขึ้นมาใช้อีกครั้ง เช่นวิลเลียม เบลค, ผู้นำของกลุ่มขบวนการนาซารีน, พรีราฟาเอลไลท์ และ โจเซพ ซัทธัล ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 การเขียนเทมเพอราก็ได้รับการฟื้นฟูกันขึ้นมาอีกครั้ง เช่นในงานเขียนของGiorgio de Chirico, Otto Dix และ Pyke Koch;[8]

ระเบียงภาพ

 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
         ทอดมันข้าวโพด เมนูทานเล่นที่แม้แต่เด็กๆ ก็สามารถ
ช่วยคุณแม่ทำได้ แถมทอดออกมายังเป็นสีเหลืองทอง
น่ารับประทานอีกด้วยค่ะ

ข้าวโพดเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับหมูสับ เมื่อนวดเข้ากันกับเครื่องปรุงต่างๆแล้วนำลงทอดก็พร้อมรับประทานได้ทันที เมนูนี้สำหรับคุณแม่บ้านที่ต้องการความรวดเร็วในการทำอาหาร แถมได้ประโยชน์จากข้าวโพดอีกด้วย
ส่วนผสมทอดมันข้าวโพด
ส่วนผสมสำหรับ 3-4 ท่าน
  • 1. หมูสับ 200 ก.
  • 2. เมล็ดข้าวโพดต้มสุก 150 ก.
  • 3. ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • 4. แป้งทอดกรอบ 5 ชต.
  • 5. รากผักชีสับละเอียด 1 ชช.
  • 6. กระเทียมสับละเอียด 1 ชช.
  • 7. พริกไทยป่น ½ ชช.
  • 8. น้ำตาลทราย ½ ชต.
  • 9. ซีอิ๊วขาว 1 ชต.
  • 10. น้ำมันหอย 1 ชต.
  • 11. น้ำมันปาล์ม 1 ถ้วย
  • 12. ซอสมะเขือเทศ / น้ำจิ้มบ๊วย
วิธีทำทอดมันข้าวโพด
  1. นำส่วนผสมทั้งหมดเทลงในชามผสม (ยกเว้น น้ำมัน และน้ำจิ้มบ๊วย ซอสมะเขือเทศ) นวดให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน
  2. ตั้งน้ำมันให้ร้อนปานกลาง แตะน้ำเปล่าที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง ปั้นทอดมันเป็นชิ้นกลมจากนั้นกดให้แบน นำลงทอดให้สีเหลืองทอง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มบ๊วยหรือซอสมะเขือเทศ

 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
         สูตรอาหารลดน้ำหนัก : สลัดเห็ดและผักโขม

 สูตรอาหารลดน้ำหนัก : สลัดเห็ดและผักโขม

  ส่วนผสม : สำหรับ 4 ท่าน

  1. เบคอน 4 ชิ้น
  2. ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำสลัด
  3. น้ำตาลทรายขาว 2 ช้อนชา
  4. น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ
  6. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  7. ผักโขม 1/2 กิโลกรัม
  8. เห็ดหอม 2 ขีด

 

 

วิธีทำ สลัดเห็ดและผักโขม

  • ทอดเบคอนกับกะทะโดยไม่ใช้นำมัน ใช้ไฟปานกลางในการทอด ทอดจนเบคอนสุกเป็นสีน้ำตาล แบะนำมาวางทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
  • ต้มไข่ให้สุก ใช้เวลาประมาณ 7-10 นาทีในการต้มไข่ ปอกไข่และหั่นไข่แบ่งครึ่งเตรียมไว้
  • นำเบคอนที่สะเด็ดน้ำมันแล้วมาทอดบนกะทะโดยไม่ใช้น้ำมันอีกครั้ง คราวนี้ใช้ไฟอ่อน และปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำส้มสายชู เกลือ
  • นำผักโขมที่ล้างจนสะอาดแล้วมา หั่น และใส่ลงในชามสลัด ราดด้วยน้ำสลัดตามชอบ คลุกผักและน้ำสลัดให้เข้ากันเติมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย คลุกเคล้าจนเข้ากัน
  • ตกแต่งจานสลัดด้วย ไข่ และโรยเบคอนที่เตรียมไว้ และโรยเห็ดหอมที่เตียมไว้

ข้อมูลทางโภชนาการสำหรับสูตรอาหารลดน้ำหนัก : สลัดเห็ดผักโขม
Calories : 126 Total Fat : 6.8 g Cholestsrol : 116 m

 สูตรอาหารลดน้ำหนัก : สลัดเห็ดและผักโขม 

ที่มา : สูตรอาหารลดน้ำหนัก www.108health.com
เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

 


        
Raspberry Sorbet ราสเบอร์รี่ เชอร์เบท ช่วงหน้าร้อนแบบนี้
ไม่มีอะไรดีไปกว่าไปอยู่บ้านแล้วก็ทานไอศครีมที่เราทำเอง
ไอศครีมแสนอร่อยที่ทานได้ทั้งครอบครัว

 




ไอศครีมชนิดที่มีส่วนผสมมาจากผลไม้ หรือไวน์กับน้ำเชื่อม
 เนื้อของ sorbet ถ้าจะให้นุ่มต้องแช่ให้แข็งและทำให้แตก
จากกันให้เป็นเนื้อที่นุ่มด้วยการใช้ เครื่องทำไอศครีม  
หรือการขูดด้วยส้อม
เครื่องมือ
  • 1. หม้อ
  • 2. ทัพพีไม้
  • 3. มีด
  • 4. เขียง
  • 5. ตะแกรงกรอง
  • 6. ภาชนะใส่ไอศกรีมเข้าตู้เย็น
  • 7. ที่ตักไอศครีม
ส่วนผสม Sorbet
  • 1. น้ำตาล 90 กรัม
  • 2. น้ำ 220 กรัม
  • 3. น้ำมะนาว 15 กรัม 
  • 4. ราสเบอรี่แช่แข็ง 300 กรัม
  • 5. Strawberry สด (สำหรับแต่ง)
ส่วนผสม Raspberry Coulis
  • 1. ราสพ์เบอร์รี่สด 200 กรัม หรือ ราสพ์เบอร์รี่แช่แข็ง 150 กรัม
  • 2. น้ำ 15 กรัม
  • 3. น้ำตาล 10 กรัม
วิธีทำราสเบอร์รี่ เชอร์เบท
Sorbet
  • 1. เทน้ำ + น้ำตาล + ราสพ์เบอร์รี่แช่แข็งลงในหม้อ
  • 2. ตั้งไฟจนเดือด คนด้วยทัพพีไม้
  • 3. นำมากรองบนตะแกรง
  • 4. เทน้ำมะนาวที่เตรียมไว้ผสมลงในน้ำราสพ์เบอร์รี่
  • 5. เพิ่มกลิ่นด้วยผิวเลม่อน (ถ้ามี)
  • 6. เทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด วางทิ้งไว้จนเย็น แล้วค่อยปิดฝา 
  • นำแช่ในช่องแช่แข็ง
Raspberry Coulis (dessert sauce) 
  • 1. เทน้ำ น้ำตาล ราสพ์เบอร์รี่แช่แข็งลงในหม้อ
  • 2. คนด้วยทัพพีไม้จนเดือด
  • 3. นำกรองแยกน้ำ นำน้ำราสพ์เบอรี่ที่ได้มาเคี่ยวตั้งไฟอีกรอบ ใช้ไฟอ่อน 
  • คนเรื่อยๆจนเริ่มเหนียว
  • 4. เทใส่ชามพักไว้จนเย็น แล้วนำเข้าตู้เย็น
วิธีการตัก Sorbet เสริฟ
  • 1. ตัก Sauce ราดบน Sorbet ที่แข็งดีแล้ว ( 1 ชต. Sauce ต่อ 1 ก้อน Sorbet)
  • 2. ใช้ที่ตักไอศกรีมตักขูด Sorbet จนเป็นก้อนไอศกรีม
  • 3. จัดเสริฟตามใจชอบ
  เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
         เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ : เค้กแครอทไขมันต่ำ

นี่คือเค้กแครอทรสชาติเยี่ยม สามารถทำเองได้ง่าย

และทำให้คุณอร่อยกับรสชาติของเค้กชิ้นนี้

ถ้าหากรับประทานพร้อมๆกับการจิบชา

 

เวลาในการเตรียมการปรุง : 20 นาที
เวลาที่ใช้ในการทำ : 40 นาที
รวมเวลาในการทำ : 1 ชั่วโมง






ส่วนผสม:

     แป้งเค้ก 1 ถ้วยตวง
     แป้งข้าวสาลี 1 ถ้วยตวง
     โซดา 2 ช้อนชา
     อบเชย 1 ช้อนชา
     จันทน์เทศป่น 1/2 ช้อนชา
     ไข่ขาวจากไข่ไก่ 4 ฟอง
     น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง
     แอปเปิ้ลซอส 1 ถ้วยตวง ( แบบไม่หวาน )
     เนยไขมนต่ำ 1/2 ถ้วยตวง
     วานิลลาสกัด 1/2 ช้อนชา
     สับปะรดบดเนื้อ 8 ออนซ์
     แครอทขูดฝอย 2 ถ้วยตวง
     ลูกเกด 1/2 ถ้วยตวง
     วอลนัทป่น 1/4 ถ้วยตวง
     ครีมชีส   1/4 ถ้วยตวง
     ครีมชีสไขมันต่ำ 1/4 ถ้วยตวง
     น้ำตาลทรายไขมันต่ำ 1/2 ถ้วยตวง
     น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
     ชาวานิลลา 1/2 ช้อน

การเตรียมเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ : เค้กแครอทไขมันต่ำ


ใช้ไฟในการอบที่ 350 องศา ใช้ถาดขนาด 13*9 นิ้ว

ผสมแป้ง, โซดา, อบเชย, และจันทน์เทศป่นในชามขนาดใหญ่ และคลุกเคล้าให้เข้ากัน หลังจากนั้นใช่ถ้วยอีกใบตีไข่ขาวผสมกับน้ำตาลจนเข้ากันได้ที่ ตามด้วย ซอสแอปเปิ้ล, เนยไขมันต่ำ และวานิลลา และค่อยๆผสมแป้งลงไปค่อยๆคนจนแป้งและไข่เข้ากัน และค่อยๆใส่สับปะรดแครอทลูกเกดและวอลนัทตามลงไป คนจนทุกอย่างเข้ากันและนำเข้าเตาอบ ใช้เวลาในการอบ 35-40 นาที ที่ไว้ให้เย็นก่อนที่จะเคลือบด้วยน้ำตาล

สำหรับเน้ำตาลที่ใช้เคลือเค้ก:

ตีครีสชีสผสมกับน้ำมะนาวและวานิลลา เพิ่มผงน้ำตาลไขมันต่ำลงไปตามความต้องการ หลังจากนั้นก็เทลงบนเค้กที่เย็นแล้ว

ตัดเค้กเป็นสี่เหลี่ยม แข่งออกเป็น 16 ชิ้น




เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ : เค้กแครอทไขมันต่ำ
เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

 
         เมนูอาหารเพื่อสุขภาพวันนี้ จะประกอบไปด้วยเห็ดห้าชนิด คือ เห็ดหูหนู 
เห็ดหูหนูขาว เห็ดฟาง เห็ดหอมสด เห็ดนางฟ้า เห็ดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นอาหาร
ที่มีคอเลสเตอรอลน้อย รสชาติอร่อย และยังไขมันต่ำอีกด้วย






ส่วนผสม : เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ 

ยำเห็ดห้าสหาย

กุ้งสด 3 ขีด
เห็ดฟางผ่าสี่ 1 ขีด
เห็ดหอมสดผ่าสี่ 1 ขีด
เห็ดนางฟ้าฉีกตามยาว 1 ขีด
เห็ดหูหนูขาวแช่น้ำพอนิ่ม 1 ขีด
เห็ดหูหนูสด หั่นเป็นชิ้นๆ 1 ขีด
หอมใหญ่หั่นตามยาว 1/2 ถ้วย
ขึ้นฉ่ายตัดเป็นท่อนๆ 1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย
น้ำปลา 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
ผักชี ใบสะระแหน่เด็ดเป็นช่อๆ 1/4 ถ้วย

วิธีทำอาหาร

1. แช่กุ้งในน้ำและล้างให้สะอาด ผ่าหลังกุ้งและปอกเปลือก นำกุ้งไปลวกในน้ำเดือด
จากสุกเป็นสีส้ม หลังจากนั้นน้ำเห็ดที่ล้างแล้วมาลวกโดยการลวกทีละอย่าง เห็ดหูหนูขาว
ใช้เวลาในการลวกไม่นาน เมื่อลวกเห็ดเสร็จ ก็ทำน้ำของยำ การผสมน้ำตาล พริกขี้หนู
น้ำมะนาว น้ำปลา คลุกเคล้าจนเข้ากัน ชิมรสชาติและปรุงรสตามชอบ
  
2. นำเห็ดที่ลวกแล้วทั้งหมด มาคลุกกับผักขึ้นฉ่าย กุ้งที่ลวกแล้ว และหอมใหญ่ซอย
ตามด้วยราดน้ำยำ โรยหน้าด้วยใบสาระแหน่กับผักชีก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย....
เมนูนี้มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆมากมายโดยที่เกลือโซเดียมน้อย และเห็ดแต่ละชนิด
มีสรรพคุณต่างๆที่มีประโยชน์ต่อร่างๆกาย เช่น เห็ดหอมมีสรรพคุณช่วยลดไขมัน
ในเส้นเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต่อต้านไวรัสและมะเร็ง เห็ดหูหนู ช่วยป้องกัน
การเกิดโรคกระเพาะ ช่วยระบบขับถ่ายดีขึ้น ป้องกันริดสีดวง เห็ดหูหนูขาว เสริมสร้าง
ปอดให้แข็งแรงและมีผลดีกับไต เห็ดฟาง มีวิตามินเคช่วยสมานแผลและรักษาสมดุล
ความดันโลหิต เห็ดเหล่านี้มีประโยชน์มากมาย และยังรสชาติดีอีกด้วย
 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
         สูตรอาหารง่ายๆที่ท่านสามารถทำได้เองที่บ้าน แม้จะอยู่ในช่วงลดน้ำหนักท่านก็สามารถรับประทานได้เต็มที่เพราะว่าปลากระพงขาวเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ

เครื่องปรุงที่ใช้

เนื้อปลากะพงขาว น้ำหนัก 70 กรัม 2 ชิ้น
กระเทียมซอย 2 ช้อนโต๊ะ ช่วยเพิ่มรสชาตและความหอม
ตะไคร้ซอย 3 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชีหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำ 1 ช้อนชา นี่คือสูตรลับที่จะทำให้อาหารมีรสชาติไม่เหมือนใคร
สะระแหน่ เด็ดเป็นช่อ 2 ช่อ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา สามารถใช้น้ำตาลเทียมได้สำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

 

เมนูอาหารไขมันต่ำรสแซ่บ : พล่าปลากระพงขาว

ขั้นตอนการอาหาร

1. ล้างเนื้อปลาให้สะอาด วางไว้บนตะแกรงให้แห้ง ช่วงรอ เราก็ไปโขลกรากผักชี พริกไทยดำ และเกลือเข้าด้วยกัน
2. นำเนื้อปลาที่แห้งแล้วใส่ถ้วยและคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงที่ทำมาในข้อ 1 คลุกจนเข้ากัน และหมัก 30 นาที จัดวางใส่จาน นำไปนึ่ง ใช้ไฟแรงในการนึ่ง และนึ่งจนสุก ( ประมาณ 15 นาที )
3. ผสมพริกขี้หนู กระเทียม ตะไคร้ ใบมะกรูด คลุกเข้าเข้ากัน ค่อยผสม น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาล เข้าด้วยกันในระหว่างการคลุก
เมื่อทำเสร็จราดบนเนื้อปลานึ่ง ปิดท้ายด้วยการโรยสะระแหน่ เพิ่มความหอม...เพียงแค่นี้ท่านก็ได้เมนูอาหารสุดวิเศษพร้อมเสริฟแล้วล่ะครับ

สูตรอาหารนี้ท่านสามารถทำได้เองที่บ้าน ด้วยความปรารถนาดีจาก  

ที่มา : เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ สูตรอาหารลดน้ำหนัก : www.108health.com http://www.108health.com/108health/index.php

  เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ 




         สูตรอาหารเพื่อสุขภาพ : ขนมจีบกุ้งชาววัง เป็นสูตรอาหาร
ดั้งเดิมมีกลิ่นไอของอาหารไทยและอาหารจีนผสมผสานกัน 
และสามารถทำได้ง่ายด้วยตัวเอง

 ส่วนผสม

กุ้งสด 1/2 กิโลกรัม
เนื้อหมูบด 1/2 กิโลกรัม
มันหมูแข็งบด 200 กรัม
เกลือป่น
น้ำตาลทราย
พริกไทยป่น
แป้งมัน
น้ำมันงา
แผ่นเกี๊ยว
กระเทียม
เจียว
ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่)

วิธีการทำ

1. นำกุ้งมาแกะเปลือกโดยการผ่าหลังและเลาะเลือดสีดำๆตรงกลางออก สับกุ้งพร้อมกับค่อยๆโรยแป้งมันผสมเล็กน้อย โดยค่อยๆใส่แป้งมันทีละ 1/2 ช้อนชาขณะสับกุ้ง เพื่อให้กุ้งสับไม่แตกเละ เมื่อกุ้งสับละเอียดแล้วก็นำมาผสมกับหมูสับและเครื่องปรุง

2. ใส่กุ้งที่เตรียมมาจากเมื่อกี้ ผสมกับมันหมูบด และหมูสับ หลังจากนั้นเติม น้ำตาลทราย พริกไทย เกลือ น้ำมันงา แป้งมัน ลงในโถผสม ใช้หัวตะกร้อตีจนเนื้อกุ้งเหนียวและหมูสับทั้งหมดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน (ถ้าไม่มีที่ตีใช้มือนวดก็ได้ แต่ใช้แรงและเวลามากหน่อย) นำส่วนผสมที่ได้แช่เย็นไว้ในช่องเย็น (Chill )จนเย็นประมาณ 1-2 ชั่วโมง (จะแช่ค้างคืนไว้ก็ได้)

3.ตัดริมแผ่นแป้งเกี๊ยวให้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสเพื่อห่อเนื้อกุ้ง ตักกุ้งที่หมักไว้ใส่แผ่นแป้งที่ตัดแล้ว บีบให้แน่น ใส่กุ้งในปริมาณที่พอเหมาะให้ห่อได้ ปาดหน้าให้เรียบ วางเห็ดหอมหรือถั่วลันเตาหรือผักชีบนหน้ากุ้ง ทาน้ำมันพืชบนลังถึงสำหรับใช้นึงให้ทั่ว วางขนมจีบแล้วนำไปนึ่งนานประมาณ 5 นาที

ขอบคุณรูปภาพจาก tamnanthai.com

จิตรกรรมแผง

 
ฉากแท่นบูชาเก้นท์” โดย ยาน ฟาน เอค และพี่ชาย, ค.ศ. 1432. ฉากแท่นบูชา (altarpiece) บนแผ่นไม้ เขียนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
จิตรกรรมแผง (ภาษาอังกฤษ: Panel painting) คือการเขียนภาพบนแผ่นไม้ อาจจะเป็นแผ่นเดียวหรือหลายแผ่นเชื่อมต่อกันเป็นเนื้อเดียว ซึ่งแตกต่างกับบานพับภาพที่จะแยกจากกัน (บานพับภาพ มักรวมเรียกเป็นส่วนหนึ่งของ จิตรกรรมแผง) แผ่นไม้ใช้เป็นพื้นสำหรับวาดภาพจนกระทั่งถูกแทนที่ด้วยผ้าใบในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นอกเหนือไปจากการวาดบนผนัง หรือบนหนังสัตว์ ซี่งวัสดุชนิดหลังนี้นิยมใช้ในการวาดหนังสือวิจิตร หรือเขียนภาพสำหรับใส่กรอบ

 ประวัติ

เด็กชายจากอัลฟายุม (Al-Fayum) คริสต์ศตวรรษที่ 2 (วอร์ซอ) สีขี้ผึ้งร้อนบนแผ่นไม้ - สังเกตรอยแตก
“จิตรกรรมแผงพิทซา” คริสต์ศตวรรษที่ 6
จิตรกรรมแผงเป็นวิธีการเขียนภาพที่เก่าแก่ และทรงคุณค่าตั้งแต่สมัยกรีก-โรมัน แต่มีหลงเหลือมาถึงปัจจุบันน้อยมาก จิตรกรรมแผงเซ็ทที่เก่าทื่สุดเป็นของกรีก มีอายุ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีชื่อว่า “จิตรกรรมแผงพิทซา” (Pitsa panels) พบที่พิทซา ในประเทศกรีซ จิตรกรรมแผงที่เก่าแก่อีกเซ็ทของประเทศอียิปต์มีชื่อว่า “ภาพเพอร์เทรตมัมมี่ที่ฟายุม” (Fayum mummy portraits) เป็นภาพเหมือนบุคคลซึ่งแปะไว้กับศพในสภาพมัมมี่ มีอายุอยู่ในช่วงหนึ่งร้อยปีก่อนคริสต์ศักราชจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 3 พบราว 900 ภาพ และยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก ทำให้เราได้เห็นสไตล์การวาดภาพในยุคจักรวรรดิโรมัน นอกจากนี้ยังพบจิตรกรรมแผงเก่าแก่อึกภาพจากอียิปต์ชื่อว่า “เซเวอรัน ทอนโด” (Severan Tondo) (วาดในราวคริสต์ศักราช 200) เป็นภาพเขียนสไตล์กรีก-โรมัน (Greco-Roman) ที่ไม่ใช่ภาพที่เกี่ยวกับศพ
ไม้เป็นวัสดุที่นิยมใช้สำหรับทำรูปสัญญลักษณ์ (icon) ของศิลปะไบแซนไทน์ และของออร์โธด็อกซ์ งานเก่าที่สุดที่พบคืองานที่สำนักสงฆ์เซนต์แคทเธอรินที่ภูเขาไซนาย (Saint Catherine's Monastery, Mount Sinai) มีอายุในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือ 6 เทคนิคที่นิยมใช้วาดคือ สีฝุ่นเท็มเพอรา (Tempera) หรือ สีจากขี้ผึ้งร้อน (Encaustic) แต่สีจากขี้ผึ้งร้อนก็หมดความนิยมในช่วงต้นยุคไบแซนไทน์
เมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 จิตรกรรมแผงก็กลับมาเป็นที่นิยมกันอีกครั้งในทวีปยุโรปตะวันตก เพราะการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติพิธีในวัด ในคริสต์ศตวรรษนี้ พระและผู้เข้าร่วมพิธีมาทำพิธีร่วมกันด้านเดียวกัน หน้าแท่นบูชา (altar) แทนที่จะถูกกั้นแยกจากกันด้วยแท่นบูชาดังเช่นในยุคก่อนหน้า ทำให้เหลือที่ว่างหลังแท่นบูชา จึงเกิดความต้องการสิ่งของมาตกแต่งหลังแท่น รูปลักษณ์ของงานจิตรกรรมแผงของต้นยุคนี้ จึงมีทั้งภาพเขียนด้านหลัง (dossals), ภาพด้านหน้าแท่นบูชา และ “พระเยซูบนกางเขน” ทั้งหมดเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาซึ่งมักจะเป็นภาพของพระเยซู, พระแม่มารี กับนักบุญที่วัดอุทิศชื่อให้หรืออยู่ในเขตเมืองหรือสังฆมณฑลนั้น หรือผู้อุทิศทรัพย์ให้วัด บางทีก็รวมถึงบุคคลในครอบครัวผู้อุทิศทรัพย์ซึ่งมักทำท่าคุกเข่าหันข้าง[1]
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13 และ 14 การเขียนจิตรกรรมแผงเป็นที่นิยมกันมากในประเทศอิตาลีโดยเฉพาะงานฉากแท่นบูชา (altarpiece) และงานเกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ แต่สูญหายไปแทบทั้งหมด ที่พอหลงเหลือเช่นงานของ ดุชโช, ชิมาบูเย งานเขียนภาพสมัยเนเธอร์แลนด์ตอนต้นในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ส่วนใหญ่จะเป็นจิตรกรรมแผงรวมทั้งงานจิตรกรรมภาพเหมือนสมัยแรกๆ เช่นงานของยาน ฟาน เอค และงานภาพเขียนที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา
เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ทวีปยุโรปมั่งคั่งขี้น และลัทธิมนุษย์วิทยาเป็นที่แพร่หลาย ทัศนคติเกี่ยวกับหน้าที่ของศิลปะและการอุปถัมภ์ศิลปะก็เปลี่ยนไป ทำให้เกิดความต้องการภาพที่นอกเหนือจากงานที่ทำเพื่อศาสนา ซี่งเป็นผลให้เกิดงานใหม่ๆ ขึ้น เช่นการทำหีบ, เตียงนอน, ถาดรองทารก, และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ บางครั้งก็ถึงแยกชิ้นส่วนเอาปีกบานพับภาพหนึ่งชุด มาใช้ทำฉากแท่นบูชาได้สองแผ่น ในปัจจุบันเราจึงพบภาพเขียนในพิพิธภัณฑ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนี่งของบานพับภาพ
ผ้าใบเข้ามาแทนที่แผ่นไม้ในอิตาลีราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 นำโดยอันเดรีย มานเทนยาและจิตรกรคนอื่นๆ ของเวนิส ในประเทศเนเธอร์แลนด์ความเปลี่ยนแปลงเริ่มหลังจากอิตาลีราวร้อยปีต่อมา จิตรกรรมแผงยังเป็นที่นิยมกันโดยเฉพาะทางตอนเหนือของยุโรป แม้จะมีผ้าใบที่ราคาถูกกว่าและพกพาสะดวกกว่าเข้ามาทดแทน ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และจิตรกรคนอื่นๆ ชอบการเขียนภาพบนแผ่นไม้มากกว่า เพราะทำให้การเขียนแม่นยำกว่าวัสดุที่ยืดหยุ่นเช่นผ้าใบ แม้แต่งานเขียนชิ้นใหญ่ๆ ที่กว้างกว่าสี่เมตรก็ยังใช้แผ่นไม้ การสร้างแผ่นไม้สำหรับเขียนภาพของรูเบนส์ค่อนข้างจะซับซ้อน บางครั้งจะใช้ไม้ด้วยกันถึง 17 ชิ้น เช่นภาพ “The Château de Steen with Hunter”[2] ที่เขียนราว ค.ศ. 1635-1638 ซึ่งปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ, ลอนดอน, อังกฤษ แต่ถ้าวัสดุที่จะเขียนมีขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า “จิตรกรรมตู้” (Cabinet painting=ภาพเขียนขนาดย่อม) ก็จะมักใช้แผ่นทองแดงแทนไม้ เช่นจิตรกรอาดัม เอลสไฮเมอร์ จิตรกรเนเธอร์แลนด์หลายคนในสมัยยุคทองของเนเธอร์แลนด์ (Dutch Golden Age) ใช้แผ่นไม้ในการเขียนงานชิ้นเล็กๆ รวมทั้ง แรมบรังด์ในบางครั้ง แต่เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 การเขียนบนแผงไม้ก็หายากนอกจากภาพเล็กๆ ที่ใช้ฝังเฟอร์นิเจอร์หรืองานไม้ประเภทเดียวกัน เช่น “ภาพเหมือนเฮอร์ซอก ฟอน เวลลิงตัน”[3] โดย ฟรานซิสโก โกยา ที่เขียนราว ค.ศ. 1814 โดยใช้สีน้ำมันบนไม้มาฮอกกานี

การสร้างแผ่นไม้และการเตรียม

ไอคอนรัสเซียโดยอันเดร รูเบลฟ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 บนแผ่นไม้สามบานขอบนูนอาจจะทำจากปลาสเตอร์แทนที่จะเป็นไม้
สวนอีเด็นแฟรงก์เฟิร์ต” จิตรกรรมแผงเยอรมนี ราวปี ค.ศ. 1410
วิธีเตรียมแผ่นไม้สำหรับเขียนภาพบรรยายไว้ในหนังสือ “คู่มือช่าง” (Il libro dell' arte) โดยเซนนิโน เซนนินิ จิตรกรชาวอิตาลีที่พิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1390 และจากเอกสารอื่นๆ วิธีทำซึ่งใช้เวลานาน และมีขั้นตอนสลับซับซ้อน ยังคงวิธีการแบบดั้งเดิมแทบไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก
  • ช่างไม้จะทำแผ่นไม้ขนาดเท่าที่ต้องการ และมักจะเลื่อยตามขวางเนื้อไม้แทนที่จะตามยาว ซึ่งตรงกันข้ามกับการเลื่อยไม้เพื่อการใช้สอยทั่วไป ส่วนที่ตัดจะไม่รวมเปลือกนอก ในอิตาลีมักจะใช้ไม้พอพพลา, วิลโล หรือ ลินเด็น เมื่อได้ไม้มาแล้วก็ไสและขัดให้เรียบถ้าจำเป็น แล้วจึงนำมาต่อกันให้ได้ขนาดและรูปร่างตามต้องการ
  • จากนั้นก็จะเคลือบผิวด้วยส่วนผสมของกาวจากหนังสัตว์กับยางสน หุ้มด้วยผ้าลินิน ขั้นตอนนี้อาจจะทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญหรือสตูดิโอของจิตรกร
  • เมื่อแห้งก็จะทาด้วย “เกสโซ” (gesso) ซึ่งเป็นผงแคลเซียมคาร์โบเนทผสมกาวที่ทำจากหนังสัตว์ ทาซ้ำหลายชั้น แต่ละชั้นก็ต้องขัดให้เรียบก่อนที่จะทาชั้นใหม่ได้ บางครั้งก็ทาถึง 15 ชั้นกว่าจะได้ผิวที่เรียบคล้ายงาช้างตามต้องการ ขั้นตอนนี้บางครั้งอาจจะไม่ทำกันหลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 หรืออาจจะใช้ผงฝุ่นสีดำแทน

การอนุรักษ์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

แผ่นไม้โดยเฉพาะถ้าเก็บไว้ในที่ที่มีความชื้นต่ำเป็นเวลานานจะโก่งและแตก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็มีวิธีการอนุรักษ์ที่เป็นที่น่าเชื่อถือหลายวิธี และบางครั้งก็จะย้ายภาพไปไว้บนผ้าใบ หรือรองรับด้วยแผ่นวัสดุสมัยใหม่
แผ่นไม้ในปัจจุบันมีประโยชน์ต่อนักประวัติศาสตร์ศิลปะมากกว่าวัสดุชนิดอื่น และราวสองสามทศศตวรรษที่ผ่านมาแผ่นไม้ก็สามารถบอกข้อมูลได้หลายอย่าง ทำให้เราพบว่าบางภาพมิใช่ของแท้ หรืออายุของภาพไม่ตรงกับช่วงปีสันนิษฐานกันมาก่อน นักวิชาการสามารถบอกได้ว่าเป็นพันธุ์ไม้ชนิดใด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าภาพนั้นวาดที่ไหน โดยใช้การวัดอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี ซึ่งผลที่ออกมาจะครอบคลุมช่วงระยะเวลาประมาณ บวกลบ 20 ปีจากอายุจริง หรือใช้การวัดอายุจากวงปีของต้นไม้ (dendrochronology) ภาพเขียนอิตาลีมักจะใช้ไม้ท้องถิ่น หรือบางทีก็ใช้ไม้จากบริเวณโครเอเชีย ส่วนใหญ่จะเป็นไม้พอพพลา แต่บางที่ก็ใช้เกาลัด, วอลนัท, โอ๊ค หรืออื่นๆ เนเธอร์แลนด์ไม่ค่อยมีไม้ที่เหมาะสมในท้องถิ่นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 งานเขียนสำคัญๆ สมัยเนเธอร์แลนด์ตอนต้นจะเป็นไม้โอ๊คบอลติค โดยเฉพาะจากประเทศโปแลนด์เหนือเมืองวอร์ซอ และนำล่องแม่น้ำข้ามทะเลบอลติคมายังเนเธอร์แลนด์[1] ทางด้านใต้ของประเทศเยอรมนีจิตรกรมักจะใช้ไม้สน และมาฮ็อกกานีนำเข้า
การวัดอายุจากวงปีของต้นไม้จะบอกได้ว่า ไม้ถูกโค่นเมื่อไหร่ แต่ก็ต้องบวกเวลาการทิ้งไม้ไว้ให้แห้งได้ที่ ซึ่งก็เป็นเวลาหลายปี หรือแผ่นไม้อาจจะมาจากกลางลำต้นทำให้ขาดวงปีวงนอกๆ ออกไป ฉะนั้นการวัดอายุวิธีนี้จึงเป็นเพียงการบอกได้แค่ “เวลาที่เก่าที่สุดเท่าที่จะบอกได้” (terminus post quem) เป็นการประมาณเวลา ซึ่งอาจจะแตกต่างจากเวลาจริงไปถึงยี่สิบปีหรือมากกว่านั้น
องค์ประกอบและหลักการออกแบบสิ่งพิมพ์
    การออกแบบสิ่งพิมพ์นับเป็นสาขาหนึ่งของงานออกแบบ สามารถนำองค์ประกอบและหลักการออกแบบมาประยุกต์ใช้เพิ่มเติม ซึ่งหลักและองค์ประกอบของการออกแบบมีดังต่อไปนี้
 
 องค์ประกอบของการออกแบบ (The Elements of Design)

     องค์ประกอบต่าง ๆ ของการออกแบบสามารถนำมาใช้ประกอบกันเมื่อเริ่มคิดแบบและวางเลย์เอ้าท์ เป็นสิ่งที่ช่วยให้มีจุดยืนในการเริ่มต้นออกแบบ และเพิ่มความหลากหลายของงาน องค์ประกอบของการออกแบบได้แก่
เส้น  (Line) เส้นคือการเชื่อมต่อของจุดสองจุดด้วยจุดหรือเครื่องหมายใด ๆ อย่างต่อเนื่องกัน  เส้นมีหลายลักษณะ เช่น เส้นตรง เส้นโค้ง เส้นหนา เส้นบาง เส้นประ เป็นต้น

การใช้เส้นในงานออกแบบสิ่งพิมพ์   • เป็นเส้นกรอบของรูปภาพหรือข้อความ
   • สร้างกริด (Grid)
   • จัดข้อมูลให้เป็นระเบียบ
   • เน้นส่วนสำคัญ
   • เชื่อมส่วนประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
   • สร้างกราฟหรือผังข้อมูล
   • สร้างลวดลายด้วยเส้นสายรูปแบบต่าง ๆ
   • นำสายตาผู้ดูไปยังจุดที่ต้องการ หรือสร้างความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว
   • สร้างอารมณ์หรือโน้มนำความรู้สึก

รูปทรง (Shape) รูปทรงคือสิ่งที่มีความกว้างและความสูง มี 3 แบบคือ
   1.
รูปทรงเรขาคณิต  ได้แก่ สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม เป็นต้น
   2. รูปทรงตามธรรมชาติ เช่น ภูเขา รูปร่างของคนและสัตว์ต่าง ๆ
   3. รูปทรงดัดแปลงซึ่งได้มาจากการนำรูปร่างธรรมชาติมาทำให้เรียบง่ายขึ้น

การใช้รูปร่างในงานออกแบบสิ่งพิมพ์   • จัดวางข้อความอยู่ภายในกรอบที่มีรูปทรงแบบต่าง ๆ
   • สร้างรูปแบบใหม่ ๆ
   • ใส่สีเป็นรูปทรงต่าง ๆ บนข้อความที่ต้องการเน้นหรือดึงดูดความสนใจ
   • ทำรูปทรงเฉพาะขึ้นแทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ
   • ตัดกรอบภาพเป็นรูปทรงที่แปลกออกไปเพื่อให้ดูน่าสนใจขึ้น

พื้นผิว (Texture) พื้นผิวคือสิ่งที่มองเห็นหรือสัมผัสได้บนผิวหน้าของงาน พื้นผิวที่ไม่เหมือนกันทำให้งานออกแบบเดียวกันดูแตกต่างกัน พื้นผิวจะเพิ่มมิติให้กับงาน และผู้ดูสามารถสัมผัสกับพื้นผิวที่นักออกแบบใช้กับงานได้

การใช้พื้นผิวในงานออกแบบสิ่งพิมพ์   • เพื่อกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก
   • สร้างความแตกต่างเพื่อดึงดูดความสนใจ
   • ทำให้งานมีเอกลักษณ์
   • ลวงสายตาด้วยลวดลายและแสงเงาของพื้นผิว
   • สร้างมิติและความลึก

ช่องไฟ (Space) ช่องไฟคือพื้นที่ว่างที่อยู่ระหว่างหรือโดยรอบวัตถุ หรือตัวอักษร ช่องไฟทำให้สิ่งที่นำมาใส่ไว้ในหน้างานแยกออกจากกัน หรือดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้เกิดการเน้น และเป็นจุดพักสายตา

การใช้ช่องไฟในงานออกแบบสิ่งพิมพ์   • ช่วยให้เรื่องราวในเลย์เอ้าท์ง่ายต่อการติดตาม
   • ช่วยให้แต่ละองค์ประกอบของงานดูเสมอกัน
   • เป็นจุดพักสายตา
   • ช่วยเน้นส่วนประกอบที่สำคัญ เช่น ปล่อยให้มีช่องว่างรอบๆส่วนประกอบนั้นมากกว่าที่อื่น
   • ทำให้ตัวอักษรดูเด่นชัดขึ้น

ขนาด (Size) ขนาดของวัตถุทั้งใหญ่หรือเล็กเป็นส่วนประกอบกันที่ทำให้เลย์เอ้าท์มีรูปแบบขึ้นมา การจัดขนาดส่วนประกอบต่าง ๆ ได้ดีจะทำให้เลย์เอ้าท์น่าสนใจยิ่งขึ้นและดูเป็นระเบียบขึ้น ขนาดจะทำให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่ต้องการเน้น ช่วยดึงดูดความสนใจ และช่วยให้เลย์เอ้าท์ประกอบเข้าด้วยกันได้อย่างเหมาะสม
โรงพิมพ์ สุพรีมพริ้นท์ ผู้เชี่ยวชาญงานพิมพ์ทุกชนิดทั้งงานใหญ่/งานเล็ก
   
บริการพิมพ์งานคุณภาพมาตรฐานด้วยประสบการณ์ในธุรกิจโรงพิมพ์มายาวนาน รับพิมพ์งานสี่สี พิมพ์สอดสี พิมพ์ออฟเซ็ท ราคายุติธรรม ส่งมอบงานพิมพ์ตรงเวลา
บริการงานพิมพ์ของโรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์:

โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์แผ่นพับ/พิมพ์ใบปลิว
พิมพ์แผ่นพับ/ใบปลิว
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์โบรชัวร์
พิมพ์โบรชัวร์
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์แคตตาล็อก
พิมพ์แคตตาล็อก
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์หนังสือ/พิมพ์วารสาร
พิมพ์หนังสือ/วารสาร
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์นิตยสาร
พิมพ์นิตยสาร
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์รายงานประจำปี
พิมพ์รายงานประจำปี
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์โปสเตอร์
พิมพ์โปสเตอร์
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์ปฏิทิน
พิมพ์ปฏิทิน
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์การ์ดเชิญ/การ์ดแต่งงาน/โปสการ์ด/การ์ดประเภทต่าง ๆ
พิมพ์การ์ด/โปสการ์ด.
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์นามบัตร
พิมพ์นามบัตร
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์หัวจดหมายต่าง ๆ
พิมพ์หัวจดหมาย
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์ซองประเภทต่าง ๆ
พิมพ์ซองต่าง ๆ
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์แฟ้มประเภทต่าง ๆ
พิมพ์แฟ้มต่าง ๆ
โรงพิมพ์สุพรีมพริ้นท์บริการพิมพ์แบบฟอร์มประเภทต่าง ๆ
พิมพ์แบบฟอร์มต่าง ๆ
 
บริการพิมพ์ฉลากสินค้า
พิมพ์ฉลากสินค้า
บริการพิมพ์กล่องกระดาษ/กล่องบรรจุภัณฑ์
พิมพ์กล่องกระดาษ
บริการพิมพ์ถุงกระดาษ/ทำถุงกระดาษ
พิมพ์ถุงกระดาษ
เรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพ  

พบกับเนื้อหาทฤษฎีและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ  การถ่ายภาพ
 ประวัติของกล้องถ่ายภาพ 
 หลักการทำงานของกล้อง 
 หลักการถ่ายภาพขั้นพื้นฐาน 
 Photo Gallery 

การใช้ขนาดในงานออกแบบสิ่งพิมพ์
   • แสดงความสำคัญขององค์ประกอบ
   • ดึงดูดความสนใจ เช่น ใช้ขนาดที่ต่างกันเพื่อให้เกิดการตัดกัน
   • ทำให้มองเห็นองค์ประกอบแต่ละส่วนได้ง่ายขึ้น
   • ทำให้งานดูมีความสม่ำเสมอตลอดทั้งหน้า

ค่าความดำ (Value) ค่าความดำคือ ความมืดหรือความสว่างของพื้นที่หนึ่ง ๆ ซึ่งเกิดจากการไล่ค่าระดับความสว่างหรือความมืดที่อยู่ระหว่างขาวไปจนถึงดำ ค่าความดำนี้จะแสดงเฉดของสีต่าง ๆ เป็นเฉดของสีเทา เฉดสีเทาเหล่านี้จะมีค่าความดำจากอ่อนที่สุดไปถึงเข้มที่สุด ค่าความดำทำให้เกิดอารมณ์ ความหม่นมัวและความลึก

การใช้ค่าความดำในงานออกแบบสิ่งพิมพ์
   • ทำให้สิ่งของดูมีมิติ มีความลึก และมีแสงเงา
   • ทำให้รู้สึกถึงสิ่งของใดอยู่ด้าน สิ่งใดอยู่ด้านหลัง
   • ทำให้ภาพรวมเป็นภาพประเภทสว่าง (High Key) หรือมืด (Low Key) ตามปริมาณค่าความดำรวม
   • ใช้เน้นส่วนสำคัญ โดยให้ค่าความดำของส่วนที่ต้องการเน้นแตกต่างกับส่วนที่อยู่โดยรอบ
   • ใช้นำสายตาไปยังจุดที่ต้องการ


สี (Color) สีเป็นองค์ประกอบของการออกแบบที่มีความสำคัญมาก เพราะสีจะมีผลด้านอารมณ์ และความรู้สึก สียังทำให้เกิดภาพ ดึงดูดความสนใจ และบอกความรู้สึกของสิ่งต่าง ๆ ก่อนจะเลือกใช้สีต้องพิจารณาก่อนว่าต้องการใช้สีทำให้เกิดผลในลักษณะใด และสีใดที่เหมาะกับวัตถุประสงค์นั้น ๆ
การใช้สีในงานออกแบบสิ่งพิมพ์
   • สามารถดึงดูดสายตาให้เกิดความสนใจ
   • ช่วยสร้างอารมณ์ ความรู้สึก
   • ช่วยดึงสายตาว่าจุดใดเป็นจุดแรกที่ต้องการให้มอง
   • สามารถจัดองค์ประกอบของงานรวมกลุ่มกัน หรือจะแยกมันออกจากกันด้วยการเลือกใช้สีที่ต่างกันไป
   • ช่วยผสมผสานให้ภาพรวมมีความสมดุล
   • ใช้เน้นข้อความสำคัญหรือหัวเรื่อง

ตัวอักษร (Typography) ตัวอักษรเป็นองค์ประกอบที่แตกต่างไปจากองค์ประกอบอื่น ตัวอักษรสามารถเรียงร้อยบอกเล่าเรื่องราวให้ผู้อ่านได้โดยตรง ไม่ต้องแปลความหมายเหมือนเช่นองค์ประกอบอื่น ในขณะเดียวกันเราก็สามารถตกแต่งตัวอักษรโดยใช้รูปแบบ ขนาด และสีสัน มาจัดวางเป็นรูปแบบต่าง ๆ สร้างแรงดึงดูดให้สนใจและน่าติดตาม

การใช้ตัวอักษรในงานออกแบบสิ่งพิมพ์ 
   • ใช้บอกกล่าวข้อความที่องค์ประกอบอื่นไม่สามารถสื่อออกมาได้
   • ดึงดูดให้เกิดความสนใจด้วยขนาด สีสันและข้อความที่เร้าใจ
   • จัดลำดับความสำคัญและบอกเล่ารายละเอียดโดยจัดทำหัวข้อหลัก หัวข้อรอง และเนื้อหา ฯลฯ
   • สามารถจัดเรียงตัวอักษรประกอบเป็นภาพ หรือรูปทรงต่าง ๆ โดยใช้แบบอักษร ขนาด และสีสัน ที่ต่าง ๆ กัน
   • สามารถจัดแบ่งเป็นกลุ่มก้อน จัดวางและใช้ช่องไฟ สีสันตลอดจนองค์ประกอบอื่นในการแบ่งแยกให้เป็นระเบียบ ง่ายต่อการสื่อสาร และดูสวยงาม
   • ใช้ขยายความ หรืออธิบายภาพประกอบต่าง ๆ


หลักการออกแบบสิ่งพิมพ์ (The Principles of Design)
หลักการออกแบบสิ่งพิมพ์เป็นหลักในการพิจารณาว่าจะใช้องค์ประกอบของการออกแบบอย่างไร และช่วยให้สามารถผสมผสานส่วนประกอบต่าง ๆ ของงานจนจัดวางเป็นเลย์เอ้าท์ที่ดีได้

หลักการออกแบบฯ มี 4 ข้อดังนี้

 1.  ความสมดุล (Balance) สมดุลคือการกระจายอย่างทั่วถึงของน้ำหนัก ในงานออกแบบสิ่งพิมพ์ น้ำหนักของส่วนประกอบต่าง ๆ เป็นน้ำหนักที่สายตารู้สึกเมื่อมองส่วนประกอบนั้น ๆ  ทุกส่วนบนเลย์เอ้าท์มีน้ำหนักซึ่งรู้สึกได้จากขนาด ความมืดหรือความสว่าง สีและความเข้มของสี ความหนาและบางของเส้น ความสมดุลมีสองแบบ คือสมดุลที่กระจายเท่ากันทั้งซ้ายขวาของศูนย์กลาง (Symmetrical Balance) และความสมดุลที่เกิดจากการนำส่วนประกอบที่มีขนาดไม่เท่ากันมาจัดวางแต่เมื่อดูโดยรวมแล้วน้ำหนักทั้งหมดสมดุลกัน (Asymmetry Balance)  องค์ประกอบของการออกแบบที่นำมาใช้เพื่อสร้างความสมดุลได้แก่ รูปร่าง ขนาด ค่าความดำ สี

     Symmetrical Balance จะให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรง เหมาะสำหรับสิ่งพิมพ์ที่ต้องการสื่อถึงความมีระเบียบแบบแผน และความอนุรักษ์นิยม

     Asymmetrical Balance  จะสื่อถึงความขัดแย้ง ความหลากหลาย ความไม่เป็นระเบียบ และความประหลาดใจ

การสร้างความสมดุล
   • กำหนดจุดศูนย์กลางของชิ้นงาน
   • ส่วนประกอบเล็กๆหลายชิ้นสามารถสมดุลกับส่วนประกอบใหญ่หนึ่งชิ้น
   • ใช้รูปร่างที่แปลกออกไปหนึ่งหรือสองชิ้นร่วมกับรูปร่างทั่ว ๆ ไป
   • เว้นช่องว่างสีขาวให้มากรอบ ๆ คอลัมน์สีเข้ม หรือรูปภาพมืด ๆ
   • ตัวอักษรที่หนาหนัก ควรมีภาพสีสว่าง สดใสมาช่วยให้สว่างขึ้น
   • ภาพถ่ายหรือภาพประกอบสีทึม ควรวางตัวหนังสือชิ้นเล็กๆหลายชิ้นประกอบเข้าไป และเว้นช่องไฟสีขาวโดยรอบเยอะ ๆ

2. จังหวะ (Rhythm) จังหวะคือรูปแบบที่เกิดจากการซ้ำกันขององค์ประกอบต่างๆ การซ้ำกันขององค์ประกอบเดียวกันในลักษณะที่สม่ำเสมอ และความแตกต่างเช่น การเปลี่ยนรูปร่าง ขนาด หรือตำแหน่งขององค์ประกอบ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการมองเห็นจังหวะในงานออกแบบ การวางองค์ประกอบซ้ำ ๆ กันที่ระยะห่างเท่า ๆ กันทำให้เกิดความรู้สึกราบเรียบ จังหวะที่เท่า ๆ กัน สงบและผ่อนคลาย การเปลี่ยนขนาดและช่องไฟของส่วนประกอบอย่างฉับพลันจะทำให้เกิดจังหวะเร็วและมีชีวิตชีวา และสร้างความรู้สึกน่าตื่นเต้น

การสร้างจังหวะในงานออกแบบ   • วางองค์ประกอบเดิมซ้ำกันและให้มีช่องไฟเท่ากัน
   • วางองค์ประกอบเดิมในขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และขยายช่องไฟขึ้นให้รับกัน
   • มีการกลับความหนาบางของตัวอักษร เช่นให้มีตัวอักษรบางเบา สลับกับตัวทึบหนา
   • วางองค์ประกอบเดิมในหลาย ๆ จุดบนเลย์เอ้าท์
   • ถ้ามีหลายหน้าอาจวางองค์ประกอบเดิมที่จุดเดียวกันบนทุก ๆ หน้า


3.  การเน้น (Emphasis)  การเน้นคือการทำให้องค์ประกอบหนึ่งเป็นที่สังเกตเห็นก่อนส่วนอื่น ๆ  จะเกิดขึ้นเมื่อองค์ประกอบนั้นแตกต่างจากองค์ประกอบอื่น บนงานออกแบบทุกชิ้นควรมีจุดเด่นนี้เพื่อดึงดูดสายตาของผู้ดูไปสู่ส่วนสำคัญของงาน แต่ถ้ามีจุดเด่นมากเกินไปก็อาจไม่เกิดผลตามที่ต้องการ
การทำให้เกิดจุดสนใจ   • วางรูปภาพที่ต้องการเน้นให้กรอบภาพมีรูปทรงแปลกออกไปท่ามกลางรูปที่มีกรอบสี่เหลี่ยมและมีช่องไฟเท่า ๆ กัน
   • ใช้เส้นโค้งเป็นรูปร่างของตัวอักษรที่จะเน้นท่ามกลางตัวอักษรตรง ๆ
   • ใช้ตัวอักษรสีหรือรูปแบบตัวอักษรที่ต่างออกไปเมื่อต้องการเน้น
   • ใช้ตัวอักษรขาวบนพื้นสีสำหรับสิ่งที่จะเน้น
   • ใช้ตัวหนาสำหรับหัวข้อและตัวอักษรที่บางลงสำหรับเนื้อหา

4.  เอกภาพ (Unity) เอกภาพทำให้งานออกแบบดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งจะช่วยผู้อ่านรู้ว่าเป็นงานชิ้นเดียวกัน ใช้กริด (Grid) เพื่อวางกรอบโครงร่างของงาน (การเว้นคั่นหน้า คั่นหลัง คอลัมน์ การเว้นช่องไฟ และสัดส่วน) ให้เป็นระบบระเบียบ การจัดกลุ่มให้องค์ประกอบเป็นอันหนึ่งอันเดียวให้ดูเรื่องการซ้ำกันของสี รูปร่างและพื้นผิว เพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นตัวอักษร หัวเรื่อง รูปภาพ ภาพถ่าย เป็นงานเดียวกัน
การสร้างเอกภาพ
   • ใช้ตัวอักษรเพียงหนึ่งหรือสองแบบตลอดชิ้นงาน ถ้าจะให้มีการตัดกันให้ใช้ขนาดที่แตกต่างกัน
   • ให้มีความสม่ำเสมอในเรื่องแบบตัวอักษร ขนาดของหัวข้อ หัวข้อย่อย และข้อความ
   • เลือกภาพที่มีโครงสีคล้ายคลึงกัน
   • วางรูปภาพและคอลัมน์ในเส้นกริดเดียวกัน
   • เลือกใช้สีจากชุดสีเดียวกันตลอดทั้งงาน
   • ให้มีการซ้ำกันของสี รูปร่างและพื้นผิวในที่ต่าง ๆ ตลอดทั้งงาน